วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

10 อันดับสิ่งน่าขยะแขยงที่เจอในอาหาร

อันดับที่ 10

เจออึในไอติมรสช็อคโกแลต
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ผับแห่งหนึ่งใน Sydney ประเทศออสเตรเลีย เมื่อครอบครัวหนึ่งไปหาว่าพ่อครัวผสมอึในไอติมให้พวกเค้ากินหลังจากไปต่อว่า ว่าที่ร้านเปิดทีวีเชียร์ฟุตบอลเสียงดัง เรื่องนี้รุนแรงขนาดรัฐมนตรีสาธารณสุขต้องลงมาจัดการเองและพบจริงๆว่ามีสิ่ง ที่เหมือนอึผสมอยู่ในไอติมจีลาโต้ของร้านนี้ แต่ทางร้านก็ปฎิเสธทุกข้อกล่าวหาและให้พิสูจน์ DNA เลยว่าเป็นอึจริงๆหรือเปล่า โดยที่ทางร้านก็เสนอเงินปลอบใจจำนวน USd5,000 แต่ครอบครัวนี้ต้องการ 1 ล้านเหรียญ….ไม่รู้ว่าจบยังไงเหมือนกันครับ เวลากินข้าวนอกบ้านก็อย่าไปว่าร้านเค้าเยอะนะ อันตรายอ่ะ

อันดับที่9

แมงมุมแม่ม่ายดำในถุงองุ่น

ชายคนหนึ่งพบแมงมุมแม่ม่ายดำในถุงองุ่นของเค้าที่ซื้อจาก ตลาด Brighton, รัฐบอสตั้น ขณะที่เค้าเอาองุ่นออกจากถุงก็มีอะไรดำๆตกลงพื้นแล้ววิ่งหนีไป เค้าเลยรีบไปดูพบว่าเป็นแมงมุมแม่ม่ายดำที่มีพิษรุนแรงมาก เค้าเลยจับใส่ถ้วยโยเกิตแล้วรีบเอาไปที่ร้านที่เค้าซื้อ เมื่อเจ้าของร้านรู้เข้าจึงสั่งเก็บองุ่นทั้งหมดจากร้านแล้วอธิบายว่าสวน องุ่นในรัฐแคลิฟอร์เนียมีแมงมุมแม่ม่ายดำอยู่เยอะจริง แต่กรรมวิธีทำความสะอาดก็ดีเช่นกันและโอกาสน้อยมากๆที่จะมีแมงมุมหลุดรอดไป ได้ แต่หากหลุดไปได้ก็เป็นการยากมากๆที่จะตรวจเจอ

อันดับที่8

แมลงสาบในขนมงา
ชายคนนึงต้องตกใจเมื่อเค้าเจอแมลงสาบในถุงขนมงาที่เค้า กินไปจนเกือบจะหมด แล้ว แมลงสาบสังเกตุได้ยากมากๆเพราะมันถูกเคลือบไปด้วยงาแต่เคราะห์ดีที่เค้าตาไว เห็นก่อน ไม่งั้นโดนเต็มๆแน่นอน

อันดับที่7



เจอถุงยางอนามัยในซุป


เดือนกุมภาฯปี 2002 มีสตรีท่านหนึ่งกำลังทานข้าวที่ร้าน McCormick and Schmich’s Seafood ขณะที่หล่อนกำลังกินซุปอยู่ก็เคี้ยวโดนอะไนเหนียวๆหนืดๆ ตอนแรกก็นึกว่าเป็นปลาหมึกแต่พอคายออกมาดูกลับกลายเป็นถุงยางอนามัย! เธอรีบแจ้งทางร้านอาหารทันทีและฟ้องเรียกค่าเสียหายจากร้าน ศาลตัดสินให้ร้านอาหารต้องชดใช้ค่าเสียหายแต่ไม่เปิดเผยตัวเลข ทางฝั่งร้านอาหารก็ฟ้องไอ้ supplier แต่ศาลไม่รับฟ้อง

อันดับที่6

เจอนิ้วมือในคัสตาส

ชายในรูปซื้อคัสตาสจากร้าน Kohl’s Custard Shop และเมื่อนำไปกินที่บ้านเค้าก็เคี้ยวโดนอะไรหยุ่นๆซึ่งตอนแรกก็คิดว่าเป็น เยลลี่ แต่เคี้ยวๆไปเค้าก็คายมันออกมาแล้วก็ต้องตกใจแทบช๊อคเพราะมันคือนิ้วมือ!! ร้านที่เค้าซื้อสารภาพว่าวันนั้นมีพนักงานที่ร้านโดนเครื่องบดบดนิ้วไป คนงานคนอื่นก็ตกใจรีบเข้ามาช่วยคนงานคนนั้นโดยที่ไม่ได้ดูว่านิ้วมือหล่นลง ถ้วย คัสตาสไปแล้ว

อันดับที่5

เจอกบตายใน Pepsi
Fred กำลังย่าง BBQ ที่สวนหลังบ้านอย่างสบายอารมณ์ แล้วเค้าก็เปิด Pepsi กิน แต่เค้ารู้สึกว่ารสชาติมันแปลกๆ แถมน้ำออกแนวเมือกๆอีกจึงเทน้ำทิ้งแล้วก็พบว่ามีอะไรเป็นก้อนๆเมือกๆอยู่ใน กระป๋อง เค้าจึงติดต่อองค์การสาธารณสุขทันที จากรายการก็สรุปว่าก้อนนั้นคือกบที่ตายในกระป๋องนั่นเอง….สงสัยจะได้ไปหลาย ตังค์ อุอุ

อันดับที่4


มีดยาว 7 นิ้วในแซนวิชของ Subway

Director ของ HX แม็กกาซีนต้องเกือบตายเมื่อเค้าพบว่าในแซนวิชของเค้ามีมีดยาว 7 นิ้วอยู่ โชคดีที่เค้ายังกัดไปไม่ถึงใบมีด งานนี้ไม่รู้ว่าการฟ้องร้องจบลงที่ตัวเลขเท่าไหร่แต่ลูกค้าไม่ผิดอยู่ แล้ว…..น่าอิจฉาคนอเมริกาจริงๆที่กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเค้ารุนแรง และรวดเร็ว

อันดับที่3

หัวไก่ใน Happy Meal ของ McDonald’s
แม่ลูกสองกำลังรออาหารที่พวกเค้าสั่งไป พอมาถึงลูกสาวคนเล็กบ่นถึงลักษณะไก่ทอดและไม่ยอมกิน คุณแม่จึงเอื้อมมือไปหยิบในกล่อง McNugget และตอนที่กำลังจะใส่ปากลูกชายก็ร้องขึ้นว่า “แม่! นั่นมันหัวไก่!” ด้วยความตกใจเธอร้องลั่นร้านเลย ผู้จัดการร้านรีบออกมาขอโทษยกใหญ่โดยที่เสนอให้ครอบครัวเธอกิน McDonald ที่ร้านนี้ฟรี 2 อาทิตย์เต็มๆ แต่มันจะพอกับความตกใจเสียขวัญเหรอ เธอฟ้องศาลทันทีและได้รับค่าชดใช้เป็นเงิน 1 แสนเหรียญหรือ 3 ล้านบาท

อันดับที่2



เจอถุงมือทำครัวในขนมปังแถว


สาวไอแลนด์ผู้โชคร้ายไปซื้อถูกขนมปังแถวนี้เข้า เธอไม่รู้เลยว่ามีอะไรผสมอยู่เมื่อกลับถึงบ้านและแกะถุงออก สิ่งที่พบคือเศษผ้าของถุงมือทำครัวที่ผสมอยู่กับขนมปัง บริษัทขนมปังถูกปรับไปแค่ 750 ปอนด์…น้อยจัง

อันดับที่1


หนูตายในขวดน้ำแกงกะหรี่

พยาบาลสาว Cate Barrett กำลังเตรียมอาหารเย็นกับแฟนหนุ่ม ขณะที่เทน้ำกะหรี่ที่ซื้อลงหม้อก็เห็นก้อนอะไรแปลกๆจึงเพ่งมองดีๆ ก็พบว่ามันคือ ลูกหนู!!! เธอรีบเอากลับไปให้ร้านที่ซื้อดูทันที ทางร้านกล่าวขอโทษและสัญญาว่าจะส่งไปตรวจสอบทันที….ไม่รู้ว่าจะจบยังไง

5 อันดับบรรดาเด็กโคตรนรกส่งมาเกิด ที่โหดเหี้ยมสุดในประวัติศาสตร์

อันดับ 5 เบรนด้า แอน สเปนเซอร์ (Brenda Anne Spencer)

[IMG][/IMG]

วันจันทร์ 26 มกราคม ปี 1979 เบรด้าอายุ 16 ปี ใช้อาวุธปืนไรเฟิล automatic.22 ที่ได้รับเป็นของขวัญจากพ่อในวันคริสต์มาส เธอกราดยิงเด็ก 8 คน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในโรงเรียนคลีฟแลนด์ อีลิเมนท์ทาลี่ สคูล ในซานดิเอโก้ และพยายามฆ่าครูใหญ่เบอตัน แวคก์ และผู้ปกครอง เธอถูกตำรวจจับกุมหลังจากนั้น 5 ชั่วโมงและถูกตั้งคำถามถึงเหตุผลต่อการกระทำการฆาตกรรมหมู่ในโรงเรียนครั้ง นี้ เธอยักไหล่และตอบกลับว่า“ฉันเกลียด วันจันทร์ มันไม่มีเหตุผล และฉันก็ทำไปเพราะมันสนุกมากๆ เหมือนกับได้ยิงเป็ดในบ่อน้ำ อีกอย่างเด็กๆ พวกนั้นเหมือนฝูงวัวตัวเมียยืนอยู่รอบๆซะด้วยสิ"("I don't like Mondays. This livens up the day." She also said, "I had no reason for it, and it was just a lot of fun"; "It was just like shooting ducks in a pond"' and "[The children] looked like a herd of cows standing around; it was really easy pickings." ) ผลสุดท้ายเบรนด้าถูกตั้งข้อหาฆ่าคน และบาดเจ็บสาหัสอีกหลายราย ส่วนประโยค “ฉันไม่ ชอบวันจันทร์นั้น” ได้ถูกนำไปใส่ใน หนังเรื่อง The Breakfast Club(1985) และยังเป็นแรงดลใจในเพลง “ฉันไม่ชอบวันจันทร์(I don't like Mondays) โดยศิลปิน Boomtown Rats

อันดับ 4 จอน เวนาเบิล และโรเบิร์ต ทอมป์สัน (Jon Venables and Robert Thompson)

[IMG][/IMG]

ปี 1993 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ จอน เวนาเบิล และโรเบิร์ต ทอมป์สัน 2 เด็กจากครอบครัวมีปัญหา(ทั้งคู่ตอนนั้นอายุ 10 ขวบ) วันนั้นเป็นวันเปิดเรียน แต่เด็กสองคนนี้ไม่ได้ไปเรียนสักนิด เขาไปห้างสรรพสินค้า ขโมยลูกกวาด, ตุ๊กตาคอหมุนๆ, แบตเตอรี่จำนวน หนึ่ง, กระป๋องสเปย์สีน้ำเงิน 1 กระป๋อง และบังเอิญพวกเขาเห็นสิ่งหนึ่งน่าขโมยเป็นบ้าเลย(ไอเดียนรก) มันคือเด็กน้อยนามเจมส์ บัลเกอร์(James Bulger)อายุ เพียง 2 ปีกับ 11 เดือนเท่านั้น เด็กสองคนเลยลักพาตัวเด็กออกจากห้างเสียเลย(จากภาพข้างล่าง เป็นภาพกล้องรักษาความปลอดภัยในห้าง คุณจะเห็นเด็กเล็ก(เจมส์)ถูกจูงมือโดยเด็กชายจอนและมีโรเบิร์ตเดินนำหน้า ทั้งสองดูเหมือนสนิทสนมกัน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่านี้เป็นภาพสุดท้ายที่บันทึกเจมส์ในขณะมีชีวิตอยู่)


อันดับ 3 เจสซี่ โพเมอร์รอย (Jesse Pomeroy)

[IMG][/IMG]

เจสซี่ โพเมอร์รอยถูกตำรวจจำกุมได้ในขณะที่เขาอายุ 14 ในปี 1874 ในข้อหาสังหารเด็ก 2 คนอย่างน่ากลัว เขาถูกตั้งฉายาว่า “เด็กมารร้ายแห่งเมืองบอสตัน(อเมริกา)” ก่อนหน้า นั้น 3 ปีก่อน(1871-1872) เขาออกอาละวาดทำร้ายและทรมานเด็กชาย 7 คน และถูกจับส่งตัวไปโรงเรียนดัดสันดานที่บอสตัน(มีรายงานว่าเขามีอาการทางจิต) และถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อปี 1875 โดยมีทัณฑ์บนไว้ เขาเฉลิมฉลองการออกจากที่คุมขังด้วยการฆ่าเด็กสาววัย 10 ขวบชื่อ Katie Curran ด้วยการตัดแขนขาเหมือนตุ๊กตาของเล่นไม่มีผิด แต่เขาไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้เขาลักพาตัวเด็กชาย Horace Mullen วัย 10 ขวบ ไปที่บึงและสังหารเขาด้วยการใช้มีดแทงอย่างโหดร้ายและเกือบตัดหัวของเด็กชาย จนหลุดจากบ่า เจสซี่ให้เหตุผลว่าเขาฆ่าเด็กชายคนนั้นเพราะมีดวงตาที่แปลก(เด็กชายมีตาสี ขาว) เขายอมรับผิดในเวลาต่อมา และถูกจับคุก 40 ปีอย่างโดเดี่ยว(เจสซี่รับได้บันทึกสถิตว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องอายุน้อยที่ สุดที่ตัดสินในอเมริกา) สุดท้ายเจสซี่ตายเพราะสิ้นอายุไขเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1932 ขณะอายุ 72 ปี

อันดับ 2 แมรี่ เบล (Mary Bell)

[IMG][/IMG]

วันที่ 25 พฤษภาคม ปี 1968 ที่ย่านนิวคาสเซิล ทางตอนเหนือของอังกฤษ เป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 11 ปี ของแมรี่ เบล เด็กจากครอบครัวมีปัญหา(อีกแหละ) เธอเลยฉลองวันเกิดนี้โดยการบีบคอเด็ก มาร์ติน บราวน์ เด็กชายอายุ 3-4 ขวบ จนถึงแก่ความตายแล้วยังไปยั่วแม่ของเด็กทำนองว่า”ลูกคุณตายแล้วเหงาหรือ เปล่า ลูกคุณตายแล้วร้องไห้หรือเปล่า” แต่นี้ยังไม่พอสำหรับเธอ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมเธอกับเพื่อนของเธอชื่อนอม่า เบล(นามสกุลเหมือนกันแต่ไม่ใช่ญาติ) ได้ฆ่าเด็กชายไบรอัน โฮล วัย 4 ขวบ และสลัก ที่ท้องของเด็กชายด้วยอักษรย่อ M และ N ด้วยใบมีดโกน พวกเธอทั้งสองถูกศาลพิจารณาคดีในข้อหาสังหารโหดมนุษย์ 2 ศพ ผลคือคือแมรี่ เบลถูกจำคุกและไปบำบัดจิต ส่วนเพื่อนอีกคนพ้นข้อกล่าวหา(ได้ไง??) ปี 1980 เธอถูกปล่อยตัวจากคุกเมื่ออายุได้ 22 ปีทั้งๆ ที่รักษาโรคจิตไม่หาย เธอมีลูกและหายสาปสูญไปจากสังคม และวันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2003 ทางการก็ประกาศว่าเธอเป็นบุคคลนิรนา

อันดับ 1 สังหารหมู่ในโรงเรียน (School Shootings)

[IMG][/IMG]

การกระทำการสังหารหมู่ในโรงเรียนขึ้น ต่อเนื่องใน 15 ปีต่อมา ที่น่าสังเกตคือส่วนมากเหตุการณ์สังหารหมู่นี้ผู้ก่อการส่วนมากจะเป็นเด็ก อายุไม่ถึง 18 ด้วยซ้ำ พวกเขากลับมีอาวุธที่ไม่รู้เอามาจากไหน เช่น ไรเฟิล ปืนกล มีดทหาร ปืนพก ฯลฯ แต่คำถามที่ตามมาคือ ทำไมเด็กพวกนั้นถึงได้หยิบอาวุธสังหารเพื่อนนักเรียนด้วยกันอย่างเลือดเย็น เป็นเพราะปัญหาทางในโรงเรียนเหรอ(เพื่อนแกล้ง, ครูให้การบ้านเยอะ) หรือจะเป็นปัญหาทางบ้าน หรือเพราะเกมส์(GTA) เรามาดูตัวอย่างที่ผ่านๆ มาดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

15 พฤศจิกายน 1995 เจมี่ เราซ์ (Jamie Rouse) วัย 17 ปีแต่งชุดดำไปโรงเรียนริชแลนด์ ที่ไจลส์ เคาน์ตี้ รัฐเทนเนสซี่ พร้อมปืนเรมิงตันขนาด.22เขายิงครูไป2คนและหันปืนเล็งยิงโค้ชทีมฟุตบอลพร้อม ยิ้มระบายบนใบหน้าแต่พอดีเด็กคนหนึ่งเดินสวนพอดี จึงโดนแทน

[IMG][/IMG]

20 เมษายน 1998 ที่โรงเรียนคอลัมบายน์ไฮสคูล (โคลัมไบน์) อเมริกา อีริค แฮริส อายุ 18 ปี และ ไดเลน เคล็บโบลด์ อายุ 17 ปี (Eric Harris & Dylan Klebold)ได้เดินทางเข้าไปโรงเรียนด้วย ท๊อปบู๊ตแบบทหาร เสื้อคลุมสีดำแบบในหนังแอ็คขั่น สะพายเป๋กระเป๋า ที่มีอาวุธร้ายแรง เช่น ปืนลูกซอง เบอร์ 12 แบบบรรจุ 8นัด ลูกซองสั้นลำกล้องคู่ ปืนกลมือขนาดเบา TEC-DC9 ระเบิดที่ทำขึ้นเอง เมื่อมาถึงห้องเรียน นักเรียนทั่วไปไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติที่จะเกิดขึ้น อาจจะเพราะทั้งสองดูเพี้ยนๆอยู่แล้วจึงไม่มีใครสนใจ จนกระทั่ง พวกเขาสาดกระสุนใส่เพื่อนนักเรียนอย่างเมามันและไม่เลือกหน้า ก่อนที่เรื่องนี้จบลงด้วยการฆ่าตัวตายทั้งคู่

วันที่ 21 พฤษภาคม 1998 คิป แลนด์ คิงเคล (Kipland Kinkel) อายุ 15 ปี ที่เพิ่งถูกไล่ออกจากโรงเรียนสปริงฟิลด์ รัฐโอเรกอน ข้อหาพกอาวุธปืนเข้าห้องเรียน เขาเข้ามาโรงเรียนนี้อีกครั้งพร้อมปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ ตรงเข้าห้องอาหารและกราดยิงฝูงชนอย่างไม่รีรอ เป็นเหตุให้นักเรียนเสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บอีก 8 คน 

24 มีนาคม ปี 1999 แอ นดรูว์ โกลเด้น (Andrew Golden) อายุ 11 ปีพร้อมสหายมิทเชล จอห์นสัน(Mitchell Johnson) อายุ 13 ปี ในชุดพราง พร้อมปืน โกลเด้นเดินเข้าไปโรงเรียนเวสต์ไซด์ มิดเดิ้ล เมืองโจนส์ เบอโร่ รัฐอาร์คันซอ แล้วแอบกดสัญญาเตือนภัยเพื่อให้ผู้คนแตกตื่น จากนั้นเขาก็วิ่งกลับหาจอห์นสันที่ทำท่านอนเตรียมยิง และขณะที่ผู้คนกำลังชุลมุน ทั้งสองก็กราดยิงกลุ่มนักเรียน 15 คน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไป 13 คน

[IMG][/IMG]

1 ตุลาคม ปี 2007 ลุค วู้ดแฮม (Luke Woodham)วัย 16 ปี ถูกแฟนสาวมาบอกเลิก เขาโกรธมาก จนใช้มีดแทงแม่ตัวเองดับเช้าวันนั้น แล้วคว้าปืนเดินเข้าโรงเรียนเพิร์ล รัฐมิสซิปปี้ เขาตรงลิ่วไปคน ฆ่าผู้หญิงคนนั้น กับเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จากนั้นก็ยิงเด็กนักเรียนอีก 7 คน คนสุดท้ายถูกยิงแต่รอดเพราะกระสุนหมดก่อน และในขณะที่ลุคเดินกับไปเอาปืนอีกกระบอกหนึ่งผู้ช่วยครูใหญ่ก็จับตัวเขาได้ ทัน ภายหลังลุคตัดพ้อว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน เขาทนไม่ไหวแล้ว “คนอย่างผมมักถูกเหยียบย่ำบาทา ทุกวันราวขยะ ผมอยากให้สังคมได้รู้ว่า ถ้าเขาทำกับเราอย่างนี้ ก็จะโดนอย่างนี้กลับไป”

ทักษะการป้องกันตัวนะครับ เพื่อไว้ใช้จริง พร้อมประวัติ

อันนี้เรียกว่า wing chun หรือ หย่งชุน ครับ

ประวัติมวย wing chun หรือ หย่งชุน 
กว่า 250 ปีมาแล้วรัชสมัยของกษัตริย์ หยวนเซ็ง แห่งราชวงศ์ ชิง วัดเส้าหลินได้ถูกวางเพลิงโดยทหารมองโกล
การวางเพลิงครั้งนี้จึงส่งผลให้ 5 ปรมาจารย์ อาวุโสของ วัดเส้าหลินพร้อมลูกศิษย์ต้องฝ่าทหารมองโกล ลงทางใต้
ของเมืองจีน ปรมาจารย์ทั้ง 5 ได้แก่ หลวงจีนจี้ส่าน, แม่ชีไบ๋เหมย, แม่ชีหวู่เหมย, หลวงจีนฟองโตตั๊ก, หลวงจีนเมียงหิ่น รวมทั้งศิษย์ ฆราวาส ได้แก่ หงซีกวน ฟางซื่อยี่, ลกอาซาม, ถงเชียนจิน, หวูเว่ยฉวน, ชายหมี่จิ้ว และอื่นๆ
ปรมาจารย์ จี้ส่าน สอนศิษย์ ฆราวาสมากมายและได้นำศิษย์หล่านี้ต่อต้านแมนจู ในบรรดาศิษย์เหล่านี้นำโดยศิษย์พี่ชื่อ
หงซีกวน, ตงซินทุน, ฉอยอาฟุก พวกเขา ปฏิบัติการในเรือแดง โดย จี้ส่านได้ปลอมตัวเป็น พ่อครัวของคณะงิ้วเรือแดง
ส่วนปรมาจารย์ แม่ชีหวู่เหมย ได้หนีความวุ่นวายทั้งปวงไปยัง วัดกระเรียนขาวบนเขาไท่ซาน ในขณะเดียวกันได้คิดค้นวิทยายุทธ์แขนงใหม่ ซึ่งแตกต่างและมีประสิทธิภาพดีกว่าวิชาที่ได้เรียนจากวัดเส้าหลิน วิชานี้ แม่ชีได้ พบจุดเริ่มต้น
โดยบังเอิญเมื่อเธอได้เห็น จิ้งจอกต่อสู้กับนกกระเรียน ซึ่งจิ้งจอกวิ่งวนไปรอบๆนกกระเรียนเป็นวงกลมหวังหาจังหวะ
จู่โจมนกกระเรียน แต่ นกกระเรียนอยู่ในศูนย์กลางวงกลม หันหน้าเข้าหาจิ้งจอกตลอดเมื่อจิ้งจอกโจมตีนกกระเรียนก็ปัดและจิกโดยไม่วิ่งออกจากวงกลมอาศัยการป้องกันและโจมตีในเวลาเดียวกัน จากจุดนี้คือการค้นพบพื้นฐานของมวยชนิดใหม่
การต่อสู้ของมวยชนิดนี้คืออาศัยหลักการต่อสู้อันแยบยลตามหลักธรรมชาติของการหลบหลีก การเคลื่อนไหวด้วยการ
ปะทะแบบสลายแรงอย่างรวดเร็วพร้อมโจมตีเป็นเส้นตรงในเวลาเดียวกันทั้งรุกและรับในจังหวะเดียวกัน โดยการใช้โครงสร้างและสรีระของร่างกายแทนกำลังของมือและเท้าในการทำลายคู่ต่อสู้
ต่อมา แม่ชีหวู่เหมยได้รับลูกศิษย์ ซึ่งเป็นผู้หญิงชื่อ เหยิ่น หย่งชุน ได้ถ่ายทอดวิชายุทธย์แขนงใหม่นี้ให้และฝึกฝนจน
สามารถป้องกันตนเองได้แล้ว หย่งชุนจึงลงเขา ไท่ซ่านกลับไปหาบิดา จากนั้นหย่งชุนได้เอาวิชานี้สู้กับพวกอันธพาลที่มารังควานและรังแกประชาชนในมลฑลนั้นจนชนะทั้งหมดจึงสร้างชื่อเสียงขึ้นมา
หลังจากนั้นหย่งชุนได้แต่งงานกับ เหลือง ปอกเชา และพยายามจะสอนวิชานี้ให้กับสามีแต่สามีไม่ยอมฝึกเพราะตัวสามีนั้นได้ฝึกฝนมวยเส้าหลินมาอย่างช่ำชองแล้วแต่หย่งชุนก็ได้แสดงฝีมือและได้เอาชนะสามีทุกครั้ง สุดท้ายสามีจึงยอมเรียนวิชานี้กับภรรยา และจากจุดนี้จึงได้ตั้งชื่อมวยแขนงใหม่นี้ว่า หย่งชุน ตามชื่อภรรยา
ผู้หญิงทั้งๆมีรูปร่างเล็กและบอบบางกว่าผู้ชายแต่แรงของผู้หญิงจะไปสู้กับแรงผู้ชายไดอย่างไรกัน มวยหย่งชุนเป็น
มวยผู้หญิง หลักวิชาต่างๆที่ถูดคิดค้นขึ้นในวิชานี้ เน้นสำหรับผู้หญิง หย่งชุน ใช้สรีระที่ถูกต้องบวกกับความเข้าใจแรงที่แตกฉานและการฝึกฝนที่ถูกหลักวิชา มีทั้งอ่ออนและแข็ง (ไม่ใช่มวยอ่อนอย่างเดียว)และขอเน้นว่าไม่ได้เน้นกำลังภายในอะไรทำนองนั้นแต่ใช้ความเข้าใจทางสรีระและวิทยาศาสตร์
หว่องว่าโป๋ว และเหลียงหยี่ไท่
วิทยายุทธ์หย่งชุนคงจะไม่มีในวันนี้หากเหลี่ยงหล่านไกวไม่สอนใครเลย แต่ว่าเขาได้สอน หว่องว่าโป๋ว นักแสดงงิ้วแห่งคณะงิ้วเรือแดงเป็นการบังเอิญที่ปรมาจารย์ จี้ส่านก็ได้ปลอมตัวเป็นพ่อครัวในคณะงิ้วเช่นกัน จี้ส่านในเวลานั้นได้สอนลูกศิษย์อยู่จำนวนหนึ่ง เหลียงหยี่ไท นายคัดท้ายเรือคือหนึ่งนจำนวนศิษย์ซึ่งสนใจและได้รับการถ่ายทอดกระบองหกแต้มครึ่งหว่องว่าโป๋วและเหลี่ยงยี่ไท่ได้รู้จักชอบพอกันและแลกเปลี่ยนวิชากัน
หลังจากนั้นทั้งสองได้ดัดแปลงกระบองหกแต้มครึ่งโดยประยุกต์หลักการฟังด้วยการสัมผัสจากมวยหย่งชุนหรือชี้เสาและเรียกการฝึกฝนด้วยกระบองสัมผัสนี้ว่าชี้กวัน
การชี้เสามีวิธีการฝึกโดยคู่ฝึกใช้แขนสัมผัสตลอดการฝึกฝนโดยต่างฝ่ายต่างฟังการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายจากการสัมผัสในขณะที่พยายามปิดป้องและโจมตีในเวลาเดียวกันโดยใช้แม่ไม้มวยหย่งชุนระหว่างการฝึกแขนทั้งสองฝ่ายต้องไม่หลุดสัมผัสหรือแยกจากกันเลย
เหลียงจั่น
เหลี่ยงยี่ไท่ได้สอนเหลียงจั่นศิษยืคนเดียวเมื่อเขาเกือบเขาสู่วัยชรา เหลียงจั่นเป็นหมอแผนโบราณชื่อดังแห่งฝอซาน
แห่งมลฑลกวางตุ้ง เหลียงจั่นต่อมาได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งมวยหมัดหยงชุน หรือ ราชามวยประลองเนื่องจากนักมวยทั่วสารทิศได้มาประลองกับเหลี่ยงจั่น แต่ทุกคนก็ได้แพ้ไปในที่สุดเหลี่ยงชุนและเหลี่ยงปิ๊ก รวมทั้งหมกหยั่นหว่า (หว่าหุ่นไม้)
ผู้มีแขนทังสองอันแข็งแกร่ง ลูกศิษย์ที่สำคัญของเหลียงจั่นคือฉันหว่าซุนหรือผู้แลกเงินเจ๋าฉิ่นหว่าผู้ซึ่งได้แอบฝึกมวยหย่งชุนโดยมองผ่านเข้ามาตามซอกประตู จนกระทั่งเหลียงจั่นจับได้หลังจากที่เหลี่ยงซุ่นและฉานหว่าซุ่นได้ทำเก้าอี้ตัวโปรดหักระหว่างประลองกันและรับเป็นศิษย์ในที่สุด
ฉานหว่าซุนและศิษย์
ฉานหว่าซุนรับลูกศิษย์ทั้งหมดสิบหกคน มีศิษย์คนโตชื่อว่าหงึงชงโซวและศิษย์คนสุดท้ายคืออาจารย์หยิบมั่น อาจารย์หยิบมั่นสะสมเงินเพื่อมาขอเป็นศิษย์อาจารย์ฉานหว่านซุนเมื่อเขาอายุได้ประมาณ 11 ปี อาจารย์ฉานหว่าซุนจึงรับยิบมั่นเป็นลูกศิษย์คนสุกท้ายและสอนหยิบมั่นเป็นเวลา 6 ปีก่อนจะเสียชีวิตหลังจากนั้นยิบมั่นฝึกฝนต่อภายใต้การชีนำของศิษย์พี่ใหญ่หงึงชงโซว ยิบมั่นได้เข้าศึกษาต่อที่ฮ่องกง ด้วยความคะนองได้ท้าประลองไปทั่วฮ่องกงและความหึกเฮิมมีมากขึ้นเมื่อเขาชนะเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบคนแก่คนหนึ่งซึ่งผู้คนรู้จักกันดีว่ามีความสามารถยิบมั่นแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าให้กับชายแก่คนนนั้นซึ่งแท้จริงแล้วชายแก่ผู้นั้นคือ เหลียงปิ๊ก อาจารย์อา บุตรเหลียงจั่น หรือศษย์น้องของฉานหว่าซุนนั้นเองยิบมั่นหลังจากเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายจึงลาอาจารย์กลับเมืองจีน
ยิบหมั่น และ ศิษยหลังจากที่คอมมิวนิสต์เข้าปฎิวัติประเทศจีน ยิบมั่นจึงอพยบมาที่ฮ่องกงอีกครั้ง และจึงเริ่มรับลูกศิษย์ทั่วไปมากมายมี ฮอกกิ่นเชียง และอื่นๆ อาจารย์เหล่านี้ได้เผยแพร่มวยหย่งชุนจนมีผู้ฝึกฝนทั่วโลกในบัจจุบันเป็นจำนวนมากมาย
บรู๊ซลีได้ไปอมเริกาและได้นำหมัดช่วงสั้นหนึ่งนิ้วและสามนิ้วไปสาธิตที่การแข่งขันศิลปป้องกันตัวของ ed parker ครูมวยคาราเต้รับบอเมริกันแคมโบ้ (American kempo) จนเป็นที่ตื่นเต้นแก่ผู้สนใจเป็นจำนวนมากและเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ เคโต้ และอ้ายหนุ่มซินตึ้ง ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์ยิบมั่นเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนักเมื่อยิบมั่นไม่ยอมถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้กับบรู๊ซได้ในเวลาอันสั้นด้วยความผิดหวัง บรู๊ซจึงได้คิดค้นมวยของตนเองขึ้นมาแล้วตัวชื่อว่า จิ๊ตคุนโด หรือวิชาหยุดหมัดสำหรับผู้ที่รู้จักมวยทั้งสองแล้วย่อมรู้ว่าบรู๊ซได้คงไว้ซึ่งหลักวิชาหย่งชุนไว้อย่างมาก
ยิบมั่นเสียชีวิตลงในปี ค.ศ 1972 และถูกยกย่องให้เป็นปรมาจารย์ในยุคบัจุบันของหย่งชุน เคียงข้าง เซ็งหม่านชิง
(แต้หมั่งแช-แต้จิ๋ว) แห่งสำนักไทเก็ก ยูอิชิบ้าแห่งสำนักไอคิโด ส่วนบรู๊ซลีเสียชีวิตอีกหนึ่งปีถัดมา
เจี้ยงฮกกิ่น จูเสาไหล่ และอนันต์ ทินะพงศ์
บรู๊ซลีมีเพื่อนสนิทในโรงเรียนและสำรักมวย ชื่อเจี๊ยงฮกกิ่น ทั้งคู่เรียนหนังสือและวิชาป้องกันตัวและออกประลองด้วยกัน ทั้งคู่ฝึกมวยหย่งชุนภายใต้การชี้แนะของยิบมั่นและศิษย์พี่จอมราวีหว่องซัมเหลียงและเจียงจกเฮง เจียงฮกกิ่นนอกจากการศึกษาวิชามวยหย่งชุนแลวยังได้ศึกษามวยไทเก็กตระกูลวู และบัจุบันได้สอนมวยทั้งสองชนิดนี้เป็นการส่วนตัวที่ รํฐลอสแองเจิลลิส อเมริกาและได้รับศิษย์เอกในวิชาหย่งชุนคือจูเสาไหล่
อาจารย์จูเสาไหล่ศึกษาศิลปป้องกันตัวตั้งแต่เล็กๆในวิชาคาราเต้โชชินริว ต่อมาได้ฝึกมวยตระกูลหงทั้งหมดในฐานะศิษย์เอกจากยี่จีเหว่ย ศิษย์อาจารย์ต๋องฟ้งศิษย์อาจารย์หวองเฟยหง อาจารย์จูเสาไหล่ได้ให้ความสนใจหมัดหย่งชุนมาเป็นเวลานานจึงได้เริ่มหัดมวยหยงชุนกับ อากว้าน ศิษย์หย่งชุนสำนักซีมเซียวซาน หลีหมุ่ยซาน ศิษย์อาจารย์หมุ่ยยัดศิษย์อาจารย์หยิบมั่น อาจารย์จูเสาไหล่ยังได้พัฒนาตัวเองเพิ่มเติมจากอาจารย์หลุ่ยหยันซัน ราชากระบองแดนใต้และมวยซิ่งยี่หมัดจากใจและไทเก็ก อาจารย์จูเสาไหล่ยังศึกษาเพิ่มเติมจากอาจารย์ฮอกกิ่นเป็นครั้งคราวเมื่ออาจารย์อยู่ลอสแองเจิลลิส อเมริกา จึงได้กราบเป็นศิษย์อาจารย์ฮอกกิ่นจนถึงทุกวันนี้
อาจารย์อนันต์ได้เรียนรู้วิชาป้องกันตัวตั้งแต่อายุ 11 ปี ในวิชาเทควันดด้และมวยเสี้ยวลิ้มใต้จากอาจารย์คันศรเป็นเวลา 6-7 ปี และมวยไทยเมื่อคุณพ่อได้เปิดค่ายมวยไทยหลังจากนั้นจึงเดินทางไปเรียนต่อที่อมเริกาขณะที่อยู่อมเริกาอาจารย์อนันต์ได้คลุกลีกับศิลปป้องกันตัวโดยตลอดโดยได้เป็นผู้จัดการฝ่ายขายอุปกรณ์กีฬาป้องกันตัวเป็นเวลา10ปีที่นี่เองอาจารย์อนันต์ได้พบกับอาจารย์จูเสาไหล่จนเป็นมิตรที่สนิทและได้แลกเปลี่ยนวิชากันถ้าใครแพ้ก็ต้องเรียนวิชาอีกฝ่ายหนึ่งและก็ต้องถ่ายทอดสื่งที่ตนเรียนมาให้โดยไม่มีเงื่อนไข
อาจารย์อนันต์ได้เรียนรู้วิชาหย่งชุนกับอาจารย์จูเสาไหล่เป็นเวลาหลายปีก่อนจะกลับเมืองไทยในปี คศ 1988
จากนั้นจึงเริ่มสอนวิชามวยหย่งชุนเป็นต้นมา

สาวร้อยเสียง เลียนเสียงสัตว์ เหมือนสุดๆ

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

===> ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา <===


นำข้อมูลมาจาก http://www.geocities.com/p_knunครับ

เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า "ทะเลซากัสโซ" และ สาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า สาหร่ายซากัสซั่ม โดยสาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และเหตุ เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก ชาวฟีนีเชียนโบราณที่เคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้มา ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก
ท้องทะเลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด - เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็นครั้งแรก กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว แต่แม้จะแล่นเรือต่อไปอีกนาน อาณา
เขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็หาหมดลงไปไม่ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ ภูเขาทะเล โดย ภูเขาทะเลก็คือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธ์ใดๆ นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือ เท่านั้น แต่กิตติศัพย์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้างก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์
เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนก็คือ เรือจะถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่ ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้ มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็น พวกฟินีเชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ ก็เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือ รอยแกะสลักบนแผ่นหินของพวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพของ พวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่า

เหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มีแรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วย
สาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ ซึ่งยึดเรือทั้งหลายให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์ ท้องทะเลบางแห่งก็ตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาด
มหึมาหลายสิบชนิด และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำ เข้ามาทำลายเรือทั้งลำให้กลายเป็นผุยผงไปในพริบตา


เรือกูดนิว ซึ่งเป็นเรือลากจูงเครื่องดีเซล ซึ่งได้ทำสงครามชักคะเยอ กับพลังลึกลับในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา และสามารถรอดพ้นอันตรายมาได้

ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนเหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม และอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเรา ในปัจจุบันเป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม เบอร์มิวดายังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า ก็หาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่

เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทางเป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบ และแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไปอย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าว-ทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุก
รายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุนปั่นไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้


เครื่องบินแบบเดียวกับเครื่องบินทั้ง 5 ลำ ของฝูงบินที่ 19 ที่หายสาบสูญไปทั้งฝูง พร้อมทั้งชีวิตนักบินและพลเรือนประจำ
เครื่องรวม 14 นาย ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1945


เครื่องบินแบบ kc 135 ของกองทัพอากาศสหรัฐได้หายไป 2 เครื่องในเวลาเดียวกันเมื่อเดิน สิงหาคม 1963


อุบัติการณ์ ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และ เครื่องบินเป็นจำนวนมาก ในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการสูญหาย หน่วยยามฝั่งที่เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความ ล้มเหลวที่จะพบพยานหลักฐานซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี ้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใดๆ แก่ประชาชน ที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้งๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยา-
ยามจะปกปิด เรื่องราวเหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคาย ต่างๆ และเชื่อว่า จะต้องมีแรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับ อย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็วๆนี้ได้มีข่าวรายงานว่ามีนักบิน และนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญ ในดินแดนของสาม -
เหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดีจวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใดที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับ และความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้

วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหลักการ

ในบางกรณี หากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการหาบสาบสูญของเรือเดินสมุทรและเครื่องบินในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จะพบว่าหาเป็นเรื่องประหลาดลึกลับแต่อย่างใดไม่เพราะเครื่องบินแต่ละลำ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่สุดคณานับของพื้นมหาสมุทรโลกแล้ว ก็เปรียบเสมือนฝุ่นละอองที่ล่องลอย อยู่ในห้องโถงใหญ่ น้ำในมหาสมุทรก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเคลื่อนไหว กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มีอัตราความเร็วกว่าสี่ไมล์ต่อชั่วโมง

ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัสมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่สิ่งหนึ่งที่นักประดาน้ำ มักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปล่องน้ำเงิน" จะปรากฏอยู่ตามหุบผาใต้น้ำและ -
แหล่งหินประการัง มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เชื่อว่า เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วย -กระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี เคยมีนักประดาน้ำดำลงไป สำรวจปล่องต่างๆ นี้ พบว่าปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง ทำให้ปลาที่ว่ายวนอยู่ในนั้นเกิดสับสนถึงกับว่ายเอาครีบท้องขึ้นสู่เบื้องบน ยิ่งกว่านั้นยังพบว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงเข้าสู่ส่วนลึกคล้ายถูกดูดด้วยกำลังอันมหาศาลซึ่งเป็นอันตราย ต่อนักประดาน้ำมาก และลักษณะการณ์เช่นนี้ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว

อีกทฤษฏีหนึ่ง เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับลมพายุทอนาโดซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว จะกวาดเรือและเครื่องบิน ให้จมลงสู่ก้นมหาสมุทรได้ไม่ยาก พายุทอร์นาโดเป็นพายุหมุนปั่นเอาน้ำทะเลหมุนเป็นเกลียวสูงนับร้อยๆ ฟุตกลางอากาศและหากมันเกิดตอนกลางคืน เครื่องบินที่บินอยู่ระดับต่ำอาจถูกกระแทกตกลงสู่ทะเลได้ ก็เพราะนักบินไม่สามารถจะมองเห็นได้ในระยะไกล ส่วนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จมหายนั้น เชื่อว่าอาจจะเกิดจากกระแสคลื่นมหึมา ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลก็ได้ เพราะคลื่นที่เกิดจากปรากฏการณ์เช่นนี้จะมีความสูงร่วมร้อยฟุตเลยที่เดียว

ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินได้ คือ การผันแปรของอากาศอย่างทันทีทันใด ที่เรียกกันว่า "แค๊ท (Cat - clear air turbulenec)" โดยทั่วไปแล้ว "แค๊ท" จะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะคาดคะเน หรือทำการพยากรณ์ได้เช่นเดียวกับลักษณะภูมิอากาศ โดยทั่วไปมันจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสภาวะอากาศ สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ยังไม่ทราบกันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าหากมันเกิดขึ้นขณะที่กระแสลมพัดแรงและรวดเร็ว จะทำให้เกิดสูญญากาศบริเวณนั้นทันที ซึ่งหากเครื่องบินได้บินเข้าสู่บริเวณของมันก็อาจจะตกดิ่งสู่ทะเลได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดี การผันแปรวิปริตของบรรยากาศทันทีทันใดในลักษณะเช่นนี้นั้น จะต้องไม่ใช่สาเหตุการหายสาบสูญ ของเครื่องบินทุกลำใน-บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นแน่ เพราะปรากฏการณ์ "แค๊ท" จะไม่เป็นผลต่อการทำงานของเครื่องวัดต่างๆ และระบบการติดต่อทางวิทยุบนเครื่องบิน แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุ จะปรากฏว่าการติดต่อทางวิทยุได้เงียบหายไป

การแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกได้เช่นเดียวกัน เพราะมันจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง ในกรณีเช่นนี้นักบินไม่มีความสามารถพอก็อาจจะนำเครื่องบินดิ่งลงสู่มหาสมุทรได้ ยิ่งกว่านั้นปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกมากมายที่เราไม่อาจจะอธิบาย-หรือทราบสาเหตุของมันได้

15 สิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมในรอบ 50 ปี

15 สิ่งประดิษฐ์ของโลกยุคปัจจุบัน ที่นำความเจริญให้กับมนุษย์ชาติ ได้เป็นบันไดให้นักวิทยาศาสตร์ได้ต่อยอดมาถึงเวลานี้ อันนำมาซึ่งความสะดวกสบายให้กับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกชาติ ทุกเผ่าพันธ์ ถ้าสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ไม่ได้กำเนิดขึ้นมา เราจะไม่ได้รับอานิสงส์ในการดำเนินชีวิตที่สะดวกในเวลานี้เลย

ข้อความซ่อน 
1. เอทีเอ็ม


จุดเริ่มต้น : ธนาคารบาเคลยส์ พ.ศ.2510
ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าใครเป็นคนประดิษฐ์เครื่องทำธุรกรรมการเงินอัตโนมัติ หรือ เอทีเอ็ม เครื่องแรก แต่มีการขอจดสิทธิบัตรสร้างตู้เอทีเอ็มราวๆ 70 ปีก่อนโดยนักประดิษฐ์อเมริกัน

ตู้เอทีเอ็มเครื่องแรกของโลกเปิดให้บริการโดยธนาคารบาเคลย์ส (Barclays) กรุงลอนดอน อังกฤษ ในปี 2510 ถือเป็นก้าวแรกของการทำธุรกรรมการเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่นำไปสู่การคิดค้น เทคโนโลยีรหัสรักษาความปลอดภัย (PIN) รวมทั้งการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต



2. บาร์โค้ด


ผู้ประดิษฐ์ : นอร์แมน โจเฟซ วู้ดแลนด์ พ.ศ.2515
นอร์แมน โจเฟซ วู้ดแลนด์ เริ่มคิดค้นบาร์โค้ดมาตั้งแต่สมัยศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา เมื่อมาทำงานที่บริษัท ไอบีเอ็ม จึงเริ่มคิดค้นอย่างจริงจัง วัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบ จำแนกสินค้าอัตโนมัติ และในปี 2515 ก็สามารถนำเอาความก้าวหน้าด้านคอมพิวเตอร์กับแสงเลเซอร์มาพัฒนาบาร์โค้ดจน สำเร็จ



3. แผ่นซีดี


ผู้ประดิษฐ์ : คลาสส์ คอมพานน์ พ.ศ.2512
ปี 2512 คลาสส์ คอมพานน์ นักวิทยาศาสตร์ชาวดัตช์ ลูกจ้างบริษัทฟิลิปส์เสนอแนวคิดสร้างแผ่นออพติคัลดิสก์ หรือแผ่นซีดี เพื่อนำมาใช้เก็บข้อมูลเสียงเพลงอย่างคงทนถาวรในรูปแบบไฟล์ดิจิตอลแทนที่การ บันทึกลงแผ่นไวนิล

ผู้ผลิตแผ่นซีดีผลิตออกสู่ท้องตลาดจริงๆ ในปี 2525 คือฟิลิปส์กับโซนี่จับมือกันพัฒนาซีดีขึ้นมา จนปัจจุบันได้กลายเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่มีคนนิยมใช้มากที่สุดในโลก



4. แกะโคลนนิ่งดอลลี่


ผู้คิดค้น : เอียน วิลมุต พ.ศ.2540
ปี 2540 เอียน วิลมุต นักวิจัยสถาบันโรสลิน เอดินบะระ สกอตแลนด์ สร้างแกะโคลนนิ่ง ตัวแรกของโลกพร้อมกับตั้งชื่อให้มันว่า "ดอลลี่"
"ดอลลี่" เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวแรกของโลกที่สร้างโดยกระบวนการคัดลอกแบบทาง พันธุกรรม (โคลนนิ่ง) ด้วยการสกัดเอานิวเคลียส ในไข่ของแกะเพศเมียออก และสอดเอาเซลล์ร่างกาย ของแกะที่ต้องการสร้างเข้าไปแทนที่ จุดประกายความหวังในการสร้าง "มนุษย์โคลนนิ่ง" ท่ามกลางเสียงทักท้วงในโลกตะวันตกว่าหน้าที่สร้างสิ่งมีชีวิตเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์



5. โครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์


โครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ เป็นความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์หลายร้อยคนในสหรัฐ อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น ซึ่งตั้งใจถอดรหัสการจัดเรียงตัวของ "ดีเอ็นเอ" หรือ หน่วยพันธุกรรม 3 พันล้านตัวอักษร กระทั่งประสบความสำเร็จในเดือนเม.ย. 2546 ช่วยให้แพทย์และนักวิทยาศาสตร์เข้าใจการทำงานของร่างกายคนเราอย่างลึกซึ้ง ที่สุดในประวัติศาสตร์



6. โทรศัพท์มือถือ


ผู้ประดิษฐ์ : มาร์ติน คูเปอร์ พ.ศ.2516
พื้นฐานการสร้างเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไร้สาย หรือ มือถือ มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษ 1940 (พ.ศ.2483) แต่ต้องใช้เวลาต่อมาอีกหลายสิบปี มาร์ติน คูเปอร์ ถึงจะสามารถประดิษฐ์มือถือเครื่องแรกของโลกให้กับบริษัทโมโตโรลา

การใช้งานมือถือขยายตัวไปทั่วโลกเพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจีเอส เอ็มที่ ใช้กันแพร่หลายมากกว่า 80 ประเทศ ประกอบกับราคามือถือถูกลงเรื่อยๆ ขณะที่การใช้งานหลากหลายขึ้น ทั้งบริการเอสเอ็มเอส วิดีโอโฟน อี-เมล ถ่ายภาพดิจิตอล ฯลฯ



7. คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี)


พลันที่ "ซิลิคอนชิป" ถือกำเนิดขึ้น "เทคโนโลยีสมองกล" ที่เรียกว่า "คอมพิวเตอร์" ก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด เมื่อ 40 ปีก่อน คอมพิวเตอร์ 1 เครื่องมีขนาดพอๆ กับสำนักงาน 1 แห่ง และแล้วปี 2520 พีซีขนาดตั้งโต๊ะเครื่องแรก "แอปเปิล II" ก็เผยโฉมขึ้น ตามด้วยพีซีสมรรถภาพสูง "IBM 5150" ของไอบีเอ็มที่ออกวางตลาดปี 2524 จากนั้นอีก 2 ปีระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ของไมโครซอฟท์จะช่วยให้พีซีระบาดไปทั่วโลกเพราะใช้งานง่ายและสะดวกสบาย



8. ดาวเทียม


เกิดขึ้นครั้งแรก : สหภาพโซเวียต พ.ศ.2500
ทันทีที่ดาวเทียม "สปุตนิก" ของโซเวียตถูกส่งออกไปนอกโลกเมื่อปี 2500 การแข่งขันด้านอวกาศระหว่าง 2 ชาติยักษ์ใหญ่ สหรัฐอเมริกากับโซเวียต ก็เปิดฉากเป็นทางการและบีบบังคับให้สหรัฐต้องส่ง "นีล อาร์มสตรอง" ไปเหยียบดวงจันทร์ในอีกประมาณ 10 กว่าปีต่อมา ดาวเทียมมีประโยชน์มากมาย ทั้งการสื่อสารไร้พรมแดน การสำรวจทรัพยากรโลกและอื่นๆอีกมากมาย



9. เด็กหลอดแก้ว


ผู้ประดิษฐ์ : แพทริก สเต็ปโท-โรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ดส์ พ.ศ.2521
แพทริก สเต็ปโท นักสรีรวิทยา และโรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ดส์ นรีแพทย์ ร่วมมือกันคิดค้นวิธีการผสมเทียมโดยนำอสุจิกับไข่ของมนุษย์มาผสมเทียมในหลอด แก้วเพื่อให้ปฏิสนธิมนุษย์นอกครรภ์มารดา การทดลองล้มเหลว 80 ครั้ง ในที่สุดปี 2521 วิธีผสมเทียมของทั้ง 2 คนก็ให้กำเนิดเด็กหลอดแก้วคนแรกของโลก หลังจากหนูน้อย "หลุยส์ บราวน์" ร้องอุแว้ในห้องคลอด ณ เมืองโอลด์แฮม ประเทศอังกฤษ



10. ยานวอยเอเจอร์


องค์การที่ประดิษฐ์ : นาซ่า พ.ศ. 2520
การประดิษฐ์ยานอวกาศเพื่อเก็บข้อมูลระยะไกลนั้น เป็นเวลากว่า 30 ปี ยานอวกาศ "วอยเอเจอร์ 1-2" ? ขององค์การอวกาศสหรัฐอเมริกา (นาซ่า) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลจากปลายสุดของระบบสุริยะจักรวาลส่งตรงกลับมายังฐานนาซ่า บนโลกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลของดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ยูเรนัส และเนปจูนสำเร็จ



11. เทคโนโลยี http://www.


ผู้ประดิษฐ์ : ทิม เบอร์เนอร์ส ลี พ.ศ.2534
โครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่ 30 ปีก่อน แต่บุคคลที่ทำให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นเทคโนโลยีประจำบ้านสำหรับประชากรโลก คือ ทิม เบอร์เนอร์ส ลี โปรแกรมเมอร์อังกฤษ ผู้คิดโปรแกรมสืบค้นทางอินเตอร์เน็ตแบบไฮเปอร์เท็กซ์ (World Wide Web :http://www. ขึ้นมาจนสามารถนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์เชื่อมคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกันได้ ในปี 2534



12. นาโนเทคโนโลยี


ผู้ประดิษฐ์ : เอริก เดร็กซ์เลอร์ พ.ศ.2529
เอริก เดร็กซ์เลอร์ นักวิทยาศาสตร์อเมริกันบัญญัติคำว่า "นาโนเทคโนโลยี" ครั้งแรกปี 2529 เพื่ออธิบายวิสัยทัศน์ของ "ศ.ริชาร์ด ฟายน์แมน" เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ซึ่งวาดภาพการใช้วิธีจัดเรียง "อะตอม" ของสิ่งต่างๆ เพื่อนำมาสร้างสิ่งประดิษฐ์ขนาดจิ๋ว ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องยนต์ ฯลฯ ปัจจุบันนาโนเทคฯ ค่อยๆ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมนุษย์แล้วในรูปแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆมากมาย



13. พลังงานนิวเคลียร์


จุดกำเนิด : อังกฤษ พ.ศ.2499
นับแต่มีการค้นพบปฏิกิริยา นิวเคลียร์ฟิชชั่น ในยุคคริสต์ศตวรรษ 1930 นักวิทยาศาสตร์ตระหนักถึงความเป็นไปได้ในการผลิต พลังงานนิวเคลียร์และสามารถประดิษฐ์คิดค้นได้สำเร็จ

ในปีค.ศ.1956 หรือ พ.ศ.2499 โรงงานพลังงานนิวเคลียร์แห่งแรกของโลกก็เดินเครื่องที่เมืองคาลเดอร์ ฮอลล์ ประเทศอังกฤษ แต่เหตุการณ์โรงงานนิวเคลียร์ "เชอร์โนบิล" ของโซเวียตระเบิด ทำให้โลกถกเถียงกันอย่างหนักถึงผลดี-ผลเสียของการใช้พลังงานชนิดนี้ และปัจจุบันมีการใช้กันมาก



14. เลเซอร์ 


ผู้ประดิษฐ์ : ธีโอดอร์ ไมแมน พ.ศ.2503
เลเซอร์ ถือกำเนิดมาจากทฤษฎีทางฟิสิกส์ของ "อัลเบิร์ต ไอนสไตน์" อธิบายหลักการปล่อยโฟตอนโดยการกระตุ้นอะตอม เพราะในการเกิดการปล่อยโฟตอนดังกล่าวจะทำให้เกิดความเข้มแสงเพิ่ม ซึ่งเป็นหลักการของเลเซอร์โดยทั่วไป
เทคโนโลยีเลเซอร์หลุดจากโลกนิยายกลายเป็นความจริง เมื่อ "ธีโอดอร์ ไมแมน" นักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการวิจัยของบริษัทฮิวส์ สหรัฐอเมริกา ลงมือสร้างเลเซอร์เครื่องแรกของโลกสำเร็จ มีความยาวคลื่น 694.3 nm ทุกวันนี้เลเซอร์นำไปใช้กับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การทหาร การแพทย์ หรือแม้แต่ความบันเทิง เช่น การผลิตและการอ่านแผ่นซีดีเพลง เป็นต้น

15. หัวใจเทียม


ผู้ประดิษฐ์ : โรเบิร์ต ยาร์วิก พ.ศ.2525
มนุษย์เกิดมาต้องตายและต้องตายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงถ้า "หัวใจ" หยุดเต้น แต่นักประดิษฐ์เครื่องมือผ่าตัด "โรเบิร์ต ยาร์วิก" ไม่ยอมรับกฎธรรมชาติข้อนี้ และสร้าง "หัวใจเทียม" ให้คณะแพทย์มหาวิทยาลัยยูทาธ์ สหรัฐอเมริกา นำไปผ่าตัดให้กับ "นายบาร์นีย์ คลาร์ก" ซึ่งมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก 112 วันหลังผ่านการผ่าตัด ทุกวันนี้หัวใจเทียมช่วยยืดชีวิตคนไข้ที่รอการเปลี่ยนหัวใจจำนวนนับไม่ถ้วน

5 เมืองที่ได้รับการโหวตว่า "อาหารอร่อยที่สุด"

อันดับ 5 New York - Pluralism Food 


ถ้าพูดถึงมหานครนิวยอร์กในอเมริกาล่ะก็ บอกได้เลยว่าเป็นเมืองที่มีการผสมผสานของหลายวัฒนธรรม มีคนต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่เป็นสิบเป็นร้อยเชื้อชาติ ดังนั้นร้านอาหารในเมืองนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารนานาชาติเพราะมี อาหารของแทบทุกชาติขายอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารไทย ร้านพิซซ่า ร้านอาหารจีน ร้านบุฟเฟต์ญี่ปุ่น ร้านบุฟเฟต์ช็อกโกแล็ต ร้านอาหารฝรั่งเศส เป็นต้น เรียกได้ว่าแค่ที่นิวยอร์กที่เดียว สามารถทัวร์ชิมอาหารครบจากทั่วโลกเลยก็ว่าได้



อันดับ 4 Hong Kong - Simple but Delicious 


อาหารฮ่องกงนั้น เรียกได้ว่าแทบจะเหมือนอาหารจีน 100% เลยก็ว่าได้ แต่เท่าที่รู้สึก อาหารฮ่องกงจะมีรสชาติ และไม่จืดชืดเหมือนอาหารจีน สำหรับเมนูฮิตๆ ก็ไม่ใช่เมนูแปลกใหม่อะไรมากค่ะ ส่วนมากก็จะเป็นพวกโจ๊ก(หมูชิ้นใหญ่มากกก) บะหมี่เกี๊ยว(เกี๊ยวอันใหญ่เกือบเท่ากำปั้น) ติ่มซำ(เนื้อแน่นมาก) จะเห็นได้ว่าเป็นเมนูธรรมดามากๆ แต่มันต้องลอง !



อันดับ 3 Paris - Original French 


ไม่น่าแปลกใจที่ปารีสจะติดอันดับเข้ามา เพราะฝรั่งเศสเป็นแหล่งกำเนิดโรงเรียนสอนทำอาหารระดับโลกหลายแห่ง เชฟมือทองระดับโลกหลายคนต่างก็มีบ้านเกิดอยู่ที่นี่ เมนูฝรั่งเศสแบบออริจินัลที่ห้ามพลาด เช่น Cog au vin (ไก่อบซอสไวน์แดง) Soupe a l'Oignon au Fromage (ซุปหัวหอม) Pâté de Foie Gras (ตับบดเครื่องเทศ) รวมไปถึงของหวานจำพวกเบเกอรี่ต่างๆ ครัวซองต์ เครป ที่นี่เค้าก็ขึ้นชื่อระดับโลกทีเดียว




อันดับ 2 Rome - Meat Lover 


ถ้าอาหารอิตาเลียนไม่ติดอันดับก็คงจะแปลกๆ สิเนาะ เมนูหลักขึ้นชื่อคงไม่พ้นสปาเก็ตตี้ (หอมเนย ชีสเยิ้ม) แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเป็นอาหารโรมแท้ๆ ส่วนมากจะเน้น "เนื้อ" เป็นหลักค่ะ เช่น Saltimbocca (เนื้อม้วน) Stufatino (สตูว์เนื้อ) Coda alla vaccinara (ซุปหางวัว) เรียกได้ว่าใครชอบกินเนื้อล่ะก็ ห้ามพลาด !





อันดับ 1 Bangkok - Thai food is The Best


เมนูของไทยที่ชาวต่างชาติเค้าเทใจให้ก็ไม่พ้นต้มยำ ส้มตำ ไก่ย่าง แกงเขียวหวาน ผัดไท หรือแม้แต่เมนูที่พวกเรามองว่าธรรมดาๆ อย่างข้าวผัดทั่วไป เค้าก็บอกว่าอร่อยครับ ! แต่ก็ว่าจริงนะครับ คือกินอาหารชาติอื่นยังไง สุดท้ายก็รู้สึกว่าอาหารบ้านเราอร่อยที่สุดจริงๆนะ


มาดูกันว่าแอปเปิ้ลจากจีนมีอะไร ??

ที่เห็นแอปเปิ้ล สีสวยๆๆเงาๆๆนี่ เค้าเคลือบแว็กซ์น่ะครับ ระวังให้ดี ไม่ปลอกเปลือก มีสิทธิ กลับบ้านเก่า





10 สุดยอดการปลอมตัวที่น่าเหลือเชื่อในอาณาจักรสัตว์

สิ่งมีชีวิตบางชนิดจำเป็นต้องเรียนรู้การเลียนแบบสภาพแวดล้อมรอบตัวของมัน เพื่อที่มันจะสามารถเอาตัวรอดจากวัฏจักรปลาใหญ่กินปลาเล็กที่แสนโหดร้ายนี้ให้ได้ และนี้คือ 10 สุดยอดการปลอมตัวที่แปลกหน้าเหลือเชื่อของเหล่าสัตว์และแมลงบนโลกใบนี้

ข้อความซ่อน 
10.Satanic Leaf Tailed Gecko


ตุ๊กแกหางใบไม้ (Uroplatus phantasticus) เป็นชนิดของตุ๊กแกขนาดเล็ก 2.5-6 นิ้ว พบในเกาะมาดากัสการ์เท่านั้น ไม่พบที่อื่นในโลก หายากมากเพราะมันมักกลมกลืนเหมือนต้นไม้ใบหญ้า อาศัยอยู่ใต้ใบไม้หรือกองซากไม้ทางภาคเหนือและกลางของป่าเขตร้อน หางจะแบนเหมือนใบไม้ ใบไม้มีหลายสีสันไม่ว่าจะเป็นสีม่วงสีส้มสีน้ำตาลและสีเหลือง และตาโตและมีคุณสมบัติมองเวลากลางคืน กินพวกแมลง จิ้งหรีด แมลงเม่าเป็นอาหาร ปัจจุบันอยู่ในกลุ่มสัตว์สงวนเพราะมีการแอบจับมาเป็นสัตว์เลี้ยง อีกทั้งมันออกไข่นานมาก อีกทั้งเวลาฟักไข่ยาวนานถึง 90-120 วัน



9.Celaenia excavate


แมงมุมขี้นก เป็นแมงมุมพิษ(แต่พิษไม่เป็นอันตรายต่อคน)พบได้ตามชายฝั่งตะวันออกและภาคใต้ของออสเตรเลีย จุดเด่นคือมันสามารถปลอมตัวเป็นขี้นกได้ โดยมองจากภายนอกแล้วเหมือนขี้นกไม่มีผิดอันเนื่องจากผิวหนังของมันตะปุ่มตะปั่มมันวาวทำให้ดูแล้วเหมือนขี้นกเปียกๆ อีกทั้งมันยังหุบขาแนบลำตัว ทอใยสีขาวนอนทับกับใยสีขาวของมัน ซ้ำยังปล่อยกลิ่นเหม็นๆ เหมือนขี้เยี่ยวนกจากตัวมันอีกยิ่งตอกย้ำเหมือนขี้นกไปใหญ่ โดยสาเหตุที่ปลอมตัวก็คือหลีกเลี่ยงการเป็นอาหารของนก และมันดักจับสัตว์แมลงที่ชอบกินขี้นก โดยมันจะนิ่งอยู่กับที่ไม่ไปไหนเป็นชั่วโมง(มันหากินตอนกลางคนและเคลื่อนไหวช้ามากด้วยมันจะเคลื่อนที่แบบด้านข้างเหมือนปู) และเมื่อแมลงตัวไหนเผลอเข้าใกล้มันจะใช้ขาหน้าใหญ่อันทรงพลังของมันฉกเหยื่อ





8. Tassled scorpionfish


ปลาหินเป็นปลากินเนื้อที่มีหนาวพิษอาศัยอยู่ตามแนวปะการัวในมหาสมุทรอินเดีย และแปซิฟิก มีลำตัวสั้นป้อม แบนข้างเล็กน้อย ปากกว้างอยู่ทางด้านบน ตาขนาดใหญ่มองเห็นได้เกือบรอบตัว จุดเด่นมันมีสีผันแปรตามลักษณะสภาพแวดล้อม ตั้งแต่สีเทาจนถึงสีแดงสด หากินตามพื้น ออกหากินเวลากลางวัน มักพรางตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างกลมกลืนจนสังเกตแทบไม่เห็น รอให้เหยื่อว่ายเข้ามาใกล้ ชอบนอนอยู่บนก้อนหิน ปะการังตาย และพื้นท้องทะเล มักเคลื่อนที่โดยใช้ครีบท้องและครีบหู กินปลาขนาดเล็กแทบทุกชนิดเป็นอาหาร





7.Glochidium


โกลคิเดียม เป็นตัวอ่อนของหอยกาบน้ำจืด โดยตัวอ่อนดังกล่าวดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการดูดสารอาหารจากตัวปลา โดยตัวมันจะมีตาขอสำหรับยึดเกาะตัวปลาเป็นปาราสิต หากแต่มันไม่เป็นอันตรายต่อตัวปลา และหลายชนิดก็มีกลยุทธ์ในการล่อปลาที่เรียกว่า"higgin's eye"ให้มาติดกับ เช่น broken-rays mussel หอยแมลงภู่น้ำจืดชนิดหนึ่งที่ได้เปลี่ยนแปลงริมฝีปากเหงือกและหนวดที่อวบอั๋นของมันให้สีสันและรูปร่างเหมือนกับปลา แล้วขยับเหงือกไปมาเหมือนปลาว่ายน้ำ


นอกจากนี้ยังมีหอยแมลงภู่หลายชนิดที่เลียนแบบ เช่น หอย Villosa iris ที่เลียนแบบพฤติกรรมและรูปร่างของกุ้งน้ำจืดขนาดเล็ก




6.Myrmarachne


แมงมุมกระโดดเป็นชื่อของแมงมุมชนิดหนึ่ง ที่ส่วนมากอาศัยอยู่ในเขตร้อนจากแอฟริกาไปยังออสเตรเลีย แต่ก็บ้างที่อาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะมันมีหลายชนิดหลายรูปแบบมากสำหรับแมงมุมพันธุ์นี้ จุดเด่นคือแมงมุมชนิดดังกล่าวเป็นสุดยอดนักปลอมตัวที่แนบเนียนเป็นอย่างมาก นั้นคือมันสามารรถเลียนแบบมดไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมหรือรูปร่างเลยทีเดียว โดยมันมีรูปร่างเหมือนมดส้มบ้านเรา ซึ่งหากดูจากภายนอกแล้วมันมดชัดๆ และมันมีปากที่มีขนาดใหญ่ ทำให้มันดูเหมือนกับมดทหารที่ดุร้าย หากแต่สิ่งที่แตกต่างคือหนวดของมันแท้จริงแล้วไม่ใช่หนวดหากแต่เป็นพฤติกรรมที่มันจะยกขาคู่หน้าเพื่อเลียนแบบหนวดของมด ด้วยเหตุนี้ทำให้มันสามารถอยู่ร่วมกับกลุ่มมดได้อย่างสบาย ๆ มดไม่ได้ทำร้ายเจ้าแมงมุมเลย



5.Hemeroplanes caterpillar


หนอนแก้วหัวงู เป็นตัวอ่อนของมอสผีเสื้อกลางคืน Hemeroplanes มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ ในประเทศเวเนซุเอลา โบลีเวีย คอสตรารีกา เม็กซิโก และในช่วงตัวอ่อนของพวกมันนั้นมักตกเป็นเหยื่ออันโอชะของบรรดานกทั้งหลาย ดังนั้นมันเลยปลอมตัวให้รูปร่างคล้ายงู เพื่อข่มขู่ศัตรู สัตว์ สิ่งที่มาทำร้ายตนเองด้วยการคุกคลานใช้ส่วนท้ายยึดกับกิ่งไม้เอาไว้ และชูส่วนหัวขึ้น และทำการบิดหงายช่วงท้องที่มีสีสันสดใสขึ้น พร้อมกับพองหัวให้ใหญ่ขึ้นทำให้เหมือนงูที่มีดวงตาใหญ่น่ากลัวที่พร้อมฉกศัตรูเป็นอย่างมาก





4. Metalmark Moths


Choreutidae หรือ ผีเสื้อกลางคืนเมทัลมาร์กสกุล Brenthia หรือเรียกสั้นๆ คือผีเสื้อแมงมุม เป็นผีเสื้อที่มีจุดเด่นคือปีกด้านหลังของมันที่ลวดลายและรูปร่างเหมือนขาหน้าของแมงมุม ทำให้รูปร่างของมันเมื่อมองแบบไม่ใส่ใจแล้วมันจะมีรูปร่างเหมือนแมงมุมไม่มีผิด นอกจากนี้มันยังชอบอาศัยบนพื้นดินมากกว่าบินบนฟ้า เวลาจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าก็กระโดด ทำให้มันเหมือนแมงมุมกระโดดมากกว่าผีเสื้อเข้าไปใหญ่ ด้วยเหตุนี้ทำให้มันจึงปลอดภัยจากศัตรูของมันหลายครั้ง



3. Phasmatodea


ตั๊กแตนใบไม้และตั๊กแตนกิ่งไม้เป็นเป็นแมลงที่อยู่ในอันดับ Phasmatodea มีหลายชนิดทั่วโลก พบกระจายอยู่ทั่วโลก พบมากในเขตร้อน และ เขตอบอุ่น รวมถึงประเทศไทย ซึ่งตั๊กแตนใบไม้ มีลักษณะรูปร่างน่าสนใจมาก พวกมันมีรูปร่างเหมือนใบไม้และลวดลายบนตัวที่เหมือนกับเส้นใบของใบไม้ ส่วนตั๊กแตนกิ่งไม้จะมีรูปร่างมีรูปร่าง และสีสันคล้ายก้านไม้เล็ก ๆ และทั้งสองชนิดมักจะอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหวนานๆ ได้ ทำให้ดูกลมกลืนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นการแสดงพฤติกรรมการดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด เนื่องจากแมลงใบไม้และกิ่งไม้จะเป็นแมลงที่ไม่ค่อยว่องไว เคลื่อนไหวช้า และไม่กระโดด ปัจจุบันตั๊กแตนชนิดดังกล่าวหายากเนื่องจากพวกมันตกเป็นของสะสมมีค่าจากนักสะสมแมลง ทำให้เป็นแมลงชนิดดังกล่าวปกป้องด้วยกฎหมายบางประเทศ





2. The bee orchid


พืชมีหลายวิธีที่จะล่อแมลงมาตอมดอกไม้ โดยวิธีที่ว่ามีหลายอย่าง เช่น ล่อด้วยน้ำหวาน ฟีโรโมน แต่กล้วยไม้ทางตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียมมีวิธีมากกว่านั้นเพื่อล่อแมลง โดยพืชชนิดเรียกว่า กล้วยไม้ผึ้ง แค่ชื่อก็พอรู้แล้วใช่เปล่าว่ารูปร่างของดอกไม้รูปร่างเป็นยังไง เป็นกล้วยไม้ที่เติบโตในภูมิอากาศปานกลาง กึ่งแห้ง ในป่า มีความสูง 30 เซนติเมตร แต่จุดเด่นของมันคือดอกที่สีรูปร่างเหมือนผึ้งเพศเมีย แถมมันยังปล่อยฟีโรเมนช่วยดึงดูดตัวผู้เข้าไปอีก เพื่อที่เพื่อให้ละอองเกสรเพศที่ติดกับแมลงเพศผู้ไปผสมพันธุ์กับ เกสรเพศเมีย เพื่อการขยายพันธุ์ต่อไป



1. Mimic Octopus




ทำไมเจ้าตัวนี้ถึงติดอันดับหนึ่ง หลายคนคิดว่าอันดับหนึ่งจะเป็นปลาหิน หรือปลาหมึกวงแหวนน้ำเงิน สาเหตุก็คือเจ้าตัวที่ว่านี้สามารถแปลงร่างสัตว์อื่นได้มากกว่า 10 แบบ!! เจ้าสัตว์ตัวนั้นมีชื่อว่าปลาหมึกจอมหลอกลวง หรือ Thaumoctopus mimicus เป็นปลาหมึกสายพันธ์แปลกที่ถูกค้นพบบริเวณชายฝั่งสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย และเขตร้อนของทางตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชีย เมื่อปี 1998 โดยทั่วไปมันมีสีน้ำตาลแถบขาว เจริญเติบโตเต็มที่จะมีความยาวถึง 60 เซนติเมตร เป็นสัตว์สายพันธ์แรกที่ถูกค้นพบว่ามีความสามารถเลียนแบบสิ่งมีชีวิตสายพันธ์อื่นๆ ได้หลากหลายชนิด มากกว่าสิบแบบ ไม่ว่าจะเป็น ปลาลิ้นหมา, ปลาสิงโต, ปูยักษ์, งูทะเล,กั้งทะเล, ปลาดาว,หอยเชลล์, ปลากระเบน, แมงกะพรุน กุ้งแมนทิส(กุ้งตั๊กแตนตำข้าว), ดอกไม้ทะเล โดยการแปลงร่างของมันในแต่ละครั้งนั้นมันจะเก็บหนวด กางหนวด เปลี่ยนสี ไปจนถึงขั้นเลียนแบบรูปร่างและท่วงท่าการเคลื่อนไหวเลยทีเดียว แถมปลาหมึกชนิดนี้มีความฉลาดถึงขั้นสามารถเลือกว่าควรแปลงร่างของมันเป็นสัตว์ประเภทใด เช่นพอมันเจอศัตรูมันก็เปลี่ยนรูปร่างให้เหมือนสัตว์มีพิษขู่ให้ศัตรูแต่ละชนิดของมันไม่กล้าเข้าใกล้ หรือใช้ประโยชน์ในการล่าของมัน